Monday, January 15, 2007

mid trem Komgrip

1. Explain the correlation of the idea that language is used as a correlation between gestures and meaning? (แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Gestures และ Meaning )
A. GUSTURES-----------------MEANING
ตอบ Gestures คือการพูดและการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ สื่อความคิดภายในออกมา โดยอาจเป็นสิ่งที่ปรากฏออกมาโดยการเขียนตัวอักษร การพูดภาษา หรือท่าทางการแสดง ซึ่งสิ่งที่แสดงออกมาแล้วนั้นจะต้องมีความหมายเสมอ ดังนั้น Gestures จึงสัมพันธ์กับ Meaning เพราะ Gestures เป็นการพูดด้วยภาษาหรือแสดงออกทางสัญลักษณ์ที่สื่อความคิด สิ่งที่แสดงออกมาจึงมีความหมาย ดังนั้น เมื่อมีความหมายก็ต้องมี Gestures
B. GUSTURES--------ARRANGEMENT---------MEANING
(Morphology& Syntax)
ตอบ Gestures เมื่อถูกจัดให้เป็นระเบียบด้วยวิทยาหน่วยคำ (morphology) และวากยสัมพันธ์ (Syntax) ก็จะทำให้เกิดการศึกษาหน่วยคำและเรียงหน่วยคำในการสร้างคำต่างๆ เมื่อมีทั้งสองสิ่งนี้ก็จะทำให้เกิดการรวมกันขึ้นเป็นระบบไวยากรณ์ (Grammar) ซึ่งจะศึกษาความสัมพันธ์ของคำในประโยค ในแง่ของหน้าที่ โครงสร้างและองค์ประกอบ ทำให้เกิดความหมาย (Meaning) ซึ่งการมี Morphology และ Syntax เป็นตัวช่วยในการจัดระเบียบของ Gestures ดังนั้น Gestures ก็จะสามารถทำให้เราสามารถบรรยายหรือพรรณนาได้ว่าคนเราพูดภาษาอะไร อย่างไร และเกิดความเข้าใจกันมากขึ้นในการสื่อสาร
2. To understand Syntax perfectly well , we need to under the other linguistic branch ‘Morphology.’ Why is that? Can you try to analyze using the following data. (เราจะเข้าใจวิชาไวยากรณ์ได้อย่างสมบูรณ์ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องวจีภาคเช่นกัน เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ลองวิเคราะห์โดยอาศัยตัวอย่างที่ให้มา)
a. *Barking dogs does not bite
ตอบ Ungrammatical. Dogs เป็นพหูพจน์ เพราะ Dog เติม – s ดังนั้น Verb จึงต้องใช้ do แทน does ซึ่ง does จะใช้ในกรณีที่ประธานเป็น He, She, It ต้องแก้ประโยคเป็น
Barking dogs do not bite.
b. *All men is create equal
ตอบ Ungrammatical, Verb ใช้ผิด ต้องใช้ are แทน is เพราะ All men เป็นนามพหูพจน์ กริยาที่ใช้ต้องเป็นพหูพจน์ด้วย ดังนั้น ต้องแก้ประโยคเป็น
All men are create equal.
c. *How long is your feet? One foot
ตอบ Ungrammatical, เพราะ feet เป็นพหูพจน์ ซึ่งหมายถึงเท้า 2 ข้าง กริยาในประโยคจะต้องเป็น are (พหูพจน์) เพื่อสอดคล้องกับ feet ซึ่งเป็นพหูพจน์ ดังนั้น ต้องแก้ประโยคเป็น How long are your feet? One foot.
3. Experience of Language -----------language faculty-----------Grammar of L
- Competence / performance
- Species-specific
- Linguistic Acquisition Device—LAD
- Principles and Parameter Theory—PPT
How are these terms related ? Explain each term
ตอบ Competence –ความรู้เชิงภาษาที่สมบูรณ์แบบของเจ้าของภาษาที่ไม่ได้พูด ได้แสดงออก เป็นความรู้ที่ช้อนอยู่ในสมองโดยไม่ได้นำออกมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น
Performance – การใช้ภาษาของเจ้าของภาษาในสถานการณ์ต่างๆเหล่านั้น โดยการพูด การเขียน หรือการแสดงออกต่างๆ โดยมีการจัดระบบ ระเบียบเป็นฐานข้อมูลที่ดี ที่ถูกต้องแล้วจึงนำความรู้แสดงออกมาทางภาษาได้เป็นอย่างดี
Species-specific – สิ่งที่อยู่ในสมองของมนุษย์ คือ ความรู้ทางภาษา แบ่งออกมาเป็นความรู้ทางเสียง (voice) ทางไวยากรณ์ (grammar) และความหมาย (meaning) ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะของมนุษย์เท่านั้นเพราะมนุษย์มีภาษาที่ละเอียดซับซ้อนแตกต่างจากสัตว์
Linguistic Acquisition Device – (LAD) - เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถในการเรียนรู้ที่มนุษย์ทุกคนที่มี ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบการเรียนรู้ต่างๆของมนุษย์สำหรับความรู้และกรอบของรูปแบบในการเรียนรู้ภาษานี่คือ “ กลไกการรับภาษา”

Principles and Parameter Theory - (PPT) – คุณลักษณะเฉพาะทางภาษาเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมต่างๆ มนุษย์มีกลไกการรับภาษา(LAD) ติดกับสมองมาอยู่แล้ว โดยที่ไม่ต้องเรียนรู้ภาษาอย่างจริงจัง เพราะว่าเด็กจะจัดการเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ โดยใช้กลไกลการใช้ภาษา (LAD)
ซึ่งเป็นระบบที่เปิดกว้างพร้อมจะเข้ากับทุกสภาพแวดล้อมและทุกภาษา เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมใดๆ ก็จะมีการปรับคุณลักษณะเฉพาะทางภาษา(PPT) ในภาษานั้น เช่น เด็กไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก เด็กก็จะปรับ (PPT) ในภาษาประเทศนั้นๆ เมื่อปรับ PPT เข้ากับภาษาแล้วที่ตามมาก็คือ ความรู้ Competence เชิงภาษาที่สมบูรณ์แบบของเจ้าของภาษา เมื่อมี Competence แล้วก็จะทำให้เกิดการ Performance ซึ่งแสดงออกมาด้วยการพูดและการเขียนโดยมีการจัดระบบเป็นฐานข้อมูลและนำแสดงความรู้ออกมา มนุษย์สามารถเรียนรู้ทางเสียง ไวยากรณ์ และความหมายของภาษาได้เพราะมนุษย์มีคุณลักษณะเฉพาะของมนุษย์เท่านั้น คือ Species-specific

4. Compare Thai and English in the terms of the followings : (เปรียบเทียบคุณลักษณะต่อไปนี้ระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ)
a. Case
b. Number
c. Sentence/Phrase Structure
ตอบ Case ในภาษาอังกฤษเป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นคำนามที่มีบทบาทอย่างไรและคำนามต้องมีความสัมพันธ์กับกริยาในประโยค คำนามในภาษาไม่สามารถนำมาใช้ได้จนกว่าจะเติมหน่วยคำระบุ Case เสียก่อนจึงจะนำมาประกอบเป็นประโยคได้ แต่ในภาษาไทยคำนามใน Case ของประธานไม่ต้องระบุหรือเติมเครื่องหมายใดเพราะภาษาไทยไม่มี Case เหมือนภาษาอังกฤษ ดังนั้น คำนามในภาษาอังกฤษจะมีหลายรูปแบบ เช่น นามเอกพจน์จะต้องใช้กับกิริยาเอกพจน์ เป็นต้น
Number เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกจำพวกของคำนาม ภาษาอังกฤษแบ่งคำนามเป็นเอกพจน์กับพหูพจน์ ส่วนภาษาไทยไม่มีการแสดง Number ที่คำนาม ส่วนภาษาอังกฤษมีการแสดง Number คือ แสดงว่าเป็นเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น Cat เป็นเอกพจน์ และ Cats เป็นพหูพจน์
Phrase structure – There are 5 kinds of phrase in English
1. A noun phrase generally has a noun (or pronoun) as its main word.
2. A verb prepositional phrase has a preposition as its first word.
3. An adjective phase has an adjective as its main word.
4. An adverb phrase has an adverb as its main word.



โครงสร้างวลี
ส่วนในภาษาไทย จำแนกตามหน้าที่ออกเป็น 4 ชนิด
1. นามวลี (noun phrase) ทำหน้าที่เสมือน Nominals รวมทั้งคำที่ใช้แทนคำนาม Pronomimals และเป็นส่วนขยายของคำนาม
2. กริยาวลี (verb phrase) ได้แก่ คำกริยาสำคัญ กริยาช่วยรวมทั้งกลุ่มคำขยายกริยาอื่น
3. วิเศษณ์วลี (adverb phrase)ได้แก่ คำนามที่บอกอาการของกริยา บอกถึงกาลเวลาและสถานที่
4. อาลปวลี (vocative phrase) ได้แก่ กลุ่มคำที่ใช้เรียกขานซึ่งนิยมพูดก่อนเริ่มต้นพูด หรือสนทนา เช่น แม่จ๋า ท่านที่เคารพ
ในภาษาอังกฤษและภาษาไทยจะมี Noun phrase, verb phrase และ adverb phrase เหมือนกัน จะต่างกันที่ภาษาอังกฤษมี Prepositional phrase และ Adjective phrase ในภาษาไทยจะไม่มีวลีเหล่านี้แต่จะมี Vocative phrase แทน
Sentence ในภาษาอังกฤษแบ่งตามโครงสร้างได้ 4 ชนิด คือ
1. Simple Sentence (ประโยคความเดียว)
2. Compound Sentence (ประโยคความรวม)
3. Complex Sentence (ประโยคความซ้อน)




4. Compound Complex Sentence (ประโยคความรวม+ประโยคความซ้อน)
ประโยคในภาษาไทยเป็นประโยคที่ไม่แน่นอนตายตัวเหมือนกับภาษาอังกฤษที่มีวิภัตติปัจจัยทั้งหลาย ประโยคในภาษาไทยสามารถมีได้ทั้ง 3 แบบเหมือนภาษาอังกฤษ คือ
1. ประโยคสามัญ ( Simple Sentence)
2. ประโยคซับซ้อน (Complex Sentence)
3. ประโยคประสม ( Compound Sentence)

5. Employ any means to show clearly the concept of ‘ Constituent ’ and ‘Construction ’of the following sentence.(ใช้รูปแบบใดก็ได้เพื่อแสดงรูปแบบ Constituent และ Construction ให้ชัดเจนจากประโยคที่ยกมา )
John normally smokes cigarettes in the morning

S
NP VP

N Adv Tense V NP PP

John normally (present) smokes N P NP
Cigarettes in Det N

the morning
ประโยคนี้มี 12 Constituent 6 Construction



6. Underline the equal constituent with the underlined one. (ขีดเส้นใต้ Constituent ที่เทียบเท่ากันกับ Constituent ที่ขีดเส้นใต้แล้ว)
a. Micheal Moore wrote a book about the President George Bush and Donal Rumsfeld
b. Kenny G performed his concert in Bangkok and in Uttaradit.
c. His Majesty the King is highly regarded not only as the talented Jazz musician but also as the great scientist .
Komgrip
48043020102
English BA
Komgrip@hotmail.com

No comments: