Midterm Test for Syntax
1.Explain the correlation of idea that language is used as a correltion between gestures and meaning?(แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Gestures และ Meaning)
A.GESTURES------------MEANING
- All human language use a finite set of discrete sounds or gestures that are combined to form meaningful elements or words , which themselves may be combined to form an infinite set of possible sentences.
B.GESTURES------ARRANGEMENT-------MEANING
(Morphology and Syntax)
-Syntax makes possible the formulation of expressions with complex meanings out of elements with simple meanings. One of defining features of human language is its unlimited nature;that is,the number of meaningful expressions that can be produced by users of a human language is potentially infinite,and this expressive potential comes from the combination of the basic meaningful elements with syntactic principles.
2.To understand Syntax perfectly well,we need to under the other linguistic branch ‘Mophology.’Why is that ? Can you try to analyze using the following data.(เราจะเข้าใจวิชาไวยากรณ์ได้อย่างสมบูรณ์ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องวจีวิภาคเช่นกัน เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ลองวิเคราะห์โดยอาศัยตัวอย่างที่ให้มา)
a.*Barking dogs dose not bite
Ungrammatical
Barking dogs เป็นนามพหูพจน์ โดย dogs มีคำว่า barking มาขยาย
สรรพนามบุรุษที่ 3 ที่เป็นพหูพจน์จะต้องตามด้วย do เพื่อคล้อยตามประธาน ซึ่งก็คือ dogs
Barking dogs do not bite
b.*All men is create equal
Ungrammatical
จากประโยค verb ไม่คล้อยตามประธาน เนื่องจากประธานเป็นพหูพจน์ verb ที่ใช้ควรจะเป็น are มากกว่า
Verb to be จะตามด้วย verb แท้ที่เป็น verb ช่อง 1 ไม่ได้แต่จะตามด้วย verb แท้ช่องที่ 3 เพื่อให้อยู่ในรูปของ passive voice
c.*How long is your feet? One foot
Ungrammatical
ประโยคนี้เขาน่าจะต้องการถามถึงความยาวของเท้า จากคำตอบเขาถึงตอบว่า one foot ซึ่ง foot ก็คือหน่วยวัด ดังนั้น verb ที่ใช้ก็น่าจะต้องคล้อยตาม feet ในคำถาม
Verb ที่ใช้ไม่น่าจะเป็น is แต่ควรเป็น are
How long are your feet?
ดังนั้นเราจะเข้าใจวิชาไวยากรณ์ได้อย่างสมบูรณ์ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องวจีวิภาคเช่นกันเพราะ Morphology are relevanted to syntactic analysis and this is not intended to be a general introduction to this complex and important part of linguistics.
3.Experience of Language-----language faculty---Grammar of L
- Competence/performance
- Species-specific
- Linguistic Acquisition Device--LAD
- Principles and Parameter Theory--PPT
How are these terms related? Explain each term
Experience of Language-----language faculty-----Grammar of L
-Children acquire a language will observe people around them and set of expressions in language which a child hears in the course of acquiring the language constitute the child’s linguistic experience of the language. Experience serve as input to the child’s language faculty.The input to the language faculty is the child’s experience and the output of language faculty is a grammar of the language being acquired.
Competence/performance
-Competence คือ องค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องภาษาที่คนเรามีอยู่ในตัวเอง และมนุษย์เราจะมี Linguistic Acquisition Device--LAD หรือที่เรียกว่า อุปกรณ์ทางภาษา ที่ติดมากับสมองและเป็นตัวส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทางภาษา เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมใดๆ และเกิดเป็นประสบการณ์ทางภาษา จากสังคมและสภาพแวดล้อมที่อยู่ แล้วจากนั้นก็จะค่อยๆมีการปรับคุณลักษณะเฉพาะทางภาษา ที่เรียกว่า Principles and Parameter Theory--PPT และเกิดเป็นความรู้ทางภาษาแล้วก็ได้นำเอาความรู้ทางภาษาออกมาแสดงหรือออกมาใช้ที่เราเรียกว่า Performance
Species-specific
-เป็นความสามารถในการใช้ภาษาและความรู้ทางภาษา ซึ่งแบ่งเป็นความรู้ทางเสียง ทางไวยากรณ์ และความหมายที่เป็นคุณลักษณะเฉพาะของมนุษย์เท่านั้น
Linguistic Acquisition Device--LAD
- Linguistic Acquisition Device--LAD is a postulated organ of the brain that is supposed to function as a congenital device for learning symbolic language.
Principles and Parameter Theory--PPT
-Principles and Parameter Theory--PPT คือ คุณลักษณะเฉพาะทางภาษา อันเกิดจากการที่เด็กได้รับประสบการณ์ทางภาษาจากสังคมที่เขาอยู่ หรือสภาพแวดล้อมที่แวดล้อมเขา แล้วเด็กก็จะค่อยๆปรับความสามารถทางภาษาให้เกิดเป็นความรู้ทางภาษาของเขาเอง
4.Compare Thai and English in terms of the followings:(เปรียบเทียบคุณลักษณะต่อไปนี้ระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ)
a.case
Thai language isn’t case sensitive
คำว่า คุณ ก็เป็น คุณ อยู่เหมือนเดิม
เช่น “ฉันรักคุณ” กับ “คุณรักฉัน”
เห็นได้ว่าคุณอยู่ในรูปเดิม
แต่ใน English language is case sensitive
เช่น “I love you” กับ “You love me”
จะเห็นได้ว่า I จะเปลี่ยนรูปจากNominative ไปเป็นรูป Object
b.Number
Number เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกจำพวกของคำนาม ภาษาอังกฤษแบ่งคำนามเป็นเอกพจน์กับพหูพจน์ ส่วนภาษาไทยไม่มีการแสดง Number ที่คำนาม ส่วนภาษาอังกฤษมีการแสดง Number คือแสดงว่าเป็นเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น Cat เป็นเอกพจน์ และ Cats เป็นพหูพจน์
c.Sentence/Phrase Structure
Sentence ในภาษาอังกฤษแบ่งตามโครงสร้างได้ 4 ชนิด คือ
1. Simple Sentence (ประโยคความเดียว)
2. Compound Sentence (ประโยคความรวม)
3. Complex Sentence (ประโยคความซ้อน)
4. Compound Complex Sentence (ประโยคความรวม+ประโยคความซ้อน)
ประโยคในภาษาไทยเป็นประโยคที่ไม่แน่นอนตายตัวเหมือนกับภาษาอังกฤษที่มีวิภัตติปัจจัยทั้งหลาย ประโยคในภาษาไทยสามารถมีได้ทั้ง 3 แบบเหมือนภาษาอังกฤษ คือ
1. ประโยคสามัญ ( Simple Sentence)
2. ประโยคซับซ้อน (Complex Sentence)
3. ประโยคประสม ( Compound Sentence)
Phrase structure – There are 5 kinds of phrase in English
1. A noun phrase generally has a noun (or pronoun) as its main word.
2. A verb prepositional phrase has a preposition as its first word.
3. An adjective phase has an adjective as its main word.
4. An adverb phrase has an adverb as its main word.
โครงสร้างวลี
ส่วนในภาษาไทย จำแนกตามหน้าที่ออกเป็น 4 ชนิด
1. นามวลี (noun phrase) ทำหน้าที่เสมือน Nominals รวมทั้งคำที่ใช้แทนคำนาม Pronomimals และเป็นส่วนขยายของคำนาม
2. กริยาวลี (verb phrase) ได้แก่ คำกริยาสำคัญ กริยาช่วยรวมทั้งกลุ่มคำขยายกริยาอื่น
3. วิเศษณ์วลี (adverb phrase)ได้แก่ คำนามที่บอกอาการของกริยา บอกถึงกาลเวลาและสถานที่
4. อาลปวลี (vocative phrase) ได้แก่ กลุ่มคำที่ใช้เรียกขานซึ่งนิยมพูดก่อนเริ่มต้นพูด หรือสนทนา เช่น แม่จ๋า ท่านที่เคารพ
ในภาษาอังกฤษและภาษาไทยจะมี Noun phrase, verb phrase และ adverb phrase เหมือนกัน จะต่างกันที่ภาษาอังกฤษมี Prepositional phrase และ Adjective phrase ในภาษาไทยจะไม่มีวลีเหล่านี้แต่จะมี Vocative phrase แทน
5.Employ any means to show clearly the concept of ‘Constituent’and ‘Construction’of the following sentence.(ใช้รูปแบบใดก็ได้เพื่อแสดงรูปแบบ Constituent และ Construction ให้ชัดเจนจากประโยคที่ยกมา)
John normally smokes cigarettes in the morning
S
NP VP
N (Present) VP Adverbial
John -s Adv V N Prep Det N
normally smoke cigarettes in the morning
6.Underline the equal constituent with the underline one.(ขีดเส้นใต้ constituent ที่เทียบเท่ากับ constituent ขีดเส้นใต้แล้ว)
a.Micheal Moore wrote a book about the President George Bush and Donal Rumsfeld.
b.Kenny G performed his concert in Bangkok and in Uttaradit.
c.His Majesty the King is highly regarded not only as the talented Jazz musician but also as the great scientist.
1.Explain the correlation of idea that language is used as a correltion between gestures and meaning?(แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Gestures และ Meaning)
A.GESTURES------------MEANING
- All human language use a finite set of discrete sounds or gestures that are combined to form meaningful elements or words , which themselves may be combined to form an infinite set of possible sentences.
B.GESTURES------ARRANGEMENT-------MEANING
(Morphology and Syntax)
-Syntax makes possible the formulation of expressions with complex meanings out of elements with simple meanings. One of defining features of human language is its unlimited nature;that is,the number of meaningful expressions that can be produced by users of a human language is potentially infinite,and this expressive potential comes from the combination of the basic meaningful elements with syntactic principles.
2.To understand Syntax perfectly well,we need to under the other linguistic branch ‘Mophology.’Why is that ? Can you try to analyze using the following data.(เราจะเข้าใจวิชาไวยากรณ์ได้อย่างสมบูรณ์ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องวจีวิภาคเช่นกัน เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ลองวิเคราะห์โดยอาศัยตัวอย่างที่ให้มา)
a.*Barking dogs dose not bite
Ungrammatical
Barking dogs เป็นนามพหูพจน์ โดย dogs มีคำว่า barking มาขยาย
สรรพนามบุรุษที่ 3 ที่เป็นพหูพจน์จะต้องตามด้วย do เพื่อคล้อยตามประธาน ซึ่งก็คือ dogs
Barking dogs do not bite
b.*All men is create equal
Ungrammatical
จากประโยค verb ไม่คล้อยตามประธาน เนื่องจากประธานเป็นพหูพจน์ verb ที่ใช้ควรจะเป็น are มากกว่า
Verb to be จะตามด้วย verb แท้ที่เป็น verb ช่อง 1 ไม่ได้แต่จะตามด้วย verb แท้ช่องที่ 3 เพื่อให้อยู่ในรูปของ passive voice
c.*How long is your feet? One foot
Ungrammatical
ประโยคนี้เขาน่าจะต้องการถามถึงความยาวของเท้า จากคำตอบเขาถึงตอบว่า one foot ซึ่ง foot ก็คือหน่วยวัด ดังนั้น verb ที่ใช้ก็น่าจะต้องคล้อยตาม feet ในคำถาม
Verb ที่ใช้ไม่น่าจะเป็น is แต่ควรเป็น are
How long are your feet?
ดังนั้นเราจะเข้าใจวิชาไวยากรณ์ได้อย่างสมบูรณ์ก็จำเป็นต้องรู้เรื่องวจีวิภาคเช่นกันเพราะ Morphology are relevanted to syntactic analysis and this is not intended to be a general introduction to this complex and important part of linguistics.
3.Experience of Language-----language faculty---Grammar of L
- Competence/performance
- Species-specific
- Linguistic Acquisition Device--LAD
- Principles and Parameter Theory--PPT
How are these terms related? Explain each term
Experience of Language-----language faculty-----Grammar of L
-Children acquire a language will observe people around them and set of expressions in language which a child hears in the course of acquiring the language constitute the child’s linguistic experience of the language. Experience serve as input to the child’s language faculty.The input to the language faculty is the child’s experience and the output of language faculty is a grammar of the language being acquired.
Competence/performance
-Competence คือ องค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องภาษาที่คนเรามีอยู่ในตัวเอง และมนุษย์เราจะมี Linguistic Acquisition Device--LAD หรือที่เรียกว่า อุปกรณ์ทางภาษา ที่ติดมากับสมองและเป็นตัวส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทางภาษา เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมใดๆ และเกิดเป็นประสบการณ์ทางภาษา จากสังคมและสภาพแวดล้อมที่อยู่ แล้วจากนั้นก็จะค่อยๆมีการปรับคุณลักษณะเฉพาะทางภาษา ที่เรียกว่า Principles and Parameter Theory--PPT และเกิดเป็นความรู้ทางภาษาแล้วก็ได้นำเอาความรู้ทางภาษาออกมาแสดงหรือออกมาใช้ที่เราเรียกว่า Performance
Species-specific
-เป็นความสามารถในการใช้ภาษาและความรู้ทางภาษา ซึ่งแบ่งเป็นความรู้ทางเสียง ทางไวยากรณ์ และความหมายที่เป็นคุณลักษณะเฉพาะของมนุษย์เท่านั้น
Linguistic Acquisition Device--LAD
- Linguistic Acquisition Device--LAD is a postulated organ of the brain that is supposed to function as a congenital device for learning symbolic language.
Principles and Parameter Theory--PPT
-Principles and Parameter Theory--PPT คือ คุณลักษณะเฉพาะทางภาษา อันเกิดจากการที่เด็กได้รับประสบการณ์ทางภาษาจากสังคมที่เขาอยู่ หรือสภาพแวดล้อมที่แวดล้อมเขา แล้วเด็กก็จะค่อยๆปรับความสามารถทางภาษาให้เกิดเป็นความรู้ทางภาษาของเขาเอง
4.Compare Thai and English in terms of the followings:(เปรียบเทียบคุณลักษณะต่อไปนี้ระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ)
a.case
Thai language isn’t case sensitive
คำว่า คุณ ก็เป็น คุณ อยู่เหมือนเดิม
เช่น “ฉันรักคุณ” กับ “คุณรักฉัน”
เห็นได้ว่าคุณอยู่ในรูปเดิม
แต่ใน English language is case sensitive
เช่น “I love you” กับ “You love me”
จะเห็นได้ว่า I จะเปลี่ยนรูปจากNominative ไปเป็นรูป Object
b.Number
Number เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งบอกจำพวกของคำนาม ภาษาอังกฤษแบ่งคำนามเป็นเอกพจน์กับพหูพจน์ ส่วนภาษาไทยไม่มีการแสดง Number ที่คำนาม ส่วนภาษาอังกฤษมีการแสดง Number คือแสดงว่าเป็นเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น Cat เป็นเอกพจน์ และ Cats เป็นพหูพจน์
c.Sentence/Phrase Structure
Sentence ในภาษาอังกฤษแบ่งตามโครงสร้างได้ 4 ชนิด คือ
1. Simple Sentence (ประโยคความเดียว)
2. Compound Sentence (ประโยคความรวม)
3. Complex Sentence (ประโยคความซ้อน)
4. Compound Complex Sentence (ประโยคความรวม+ประโยคความซ้อน)
ประโยคในภาษาไทยเป็นประโยคที่ไม่แน่นอนตายตัวเหมือนกับภาษาอังกฤษที่มีวิภัตติปัจจัยทั้งหลาย ประโยคในภาษาไทยสามารถมีได้ทั้ง 3 แบบเหมือนภาษาอังกฤษ คือ
1. ประโยคสามัญ ( Simple Sentence)
2. ประโยคซับซ้อน (Complex Sentence)
3. ประโยคประสม ( Compound Sentence)
Phrase structure – There are 5 kinds of phrase in English
1. A noun phrase generally has a noun (or pronoun) as its main word.
2. A verb prepositional phrase has a preposition as its first word.
3. An adjective phase has an adjective as its main word.
4. An adverb phrase has an adverb as its main word.
โครงสร้างวลี
ส่วนในภาษาไทย จำแนกตามหน้าที่ออกเป็น 4 ชนิด
1. นามวลี (noun phrase) ทำหน้าที่เสมือน Nominals รวมทั้งคำที่ใช้แทนคำนาม Pronomimals และเป็นส่วนขยายของคำนาม
2. กริยาวลี (verb phrase) ได้แก่ คำกริยาสำคัญ กริยาช่วยรวมทั้งกลุ่มคำขยายกริยาอื่น
3. วิเศษณ์วลี (adverb phrase)ได้แก่ คำนามที่บอกอาการของกริยา บอกถึงกาลเวลาและสถานที่
4. อาลปวลี (vocative phrase) ได้แก่ กลุ่มคำที่ใช้เรียกขานซึ่งนิยมพูดก่อนเริ่มต้นพูด หรือสนทนา เช่น แม่จ๋า ท่านที่เคารพ
ในภาษาอังกฤษและภาษาไทยจะมี Noun phrase, verb phrase และ adverb phrase เหมือนกัน จะต่างกันที่ภาษาอังกฤษมี Prepositional phrase และ Adjective phrase ในภาษาไทยจะไม่มีวลีเหล่านี้แต่จะมี Vocative phrase แทน
5.Employ any means to show clearly the concept of ‘Constituent’and ‘Construction’of the following sentence.(ใช้รูปแบบใดก็ได้เพื่อแสดงรูปแบบ Constituent และ Construction ให้ชัดเจนจากประโยคที่ยกมา)
John normally smokes cigarettes in the morning
S
NP VP
N (Present) VP Adverbial
John -s Adv V N Prep Det N
normally smoke cigarettes in the morning
6.Underline the equal constituent with the underline one.(ขีดเส้นใต้ constituent ที่เทียบเท่ากับ constituent ขีดเส้นใต้แล้ว)
a.Micheal Moore wrote a book about the President George Bush and Donal Rumsfeld.
b.Kenny G performed his concert in Bangkok and in Uttaradit.
c.His Majesty the King is highly regarded not only as the talented Jazz musician but also as the great scientist.
No comments:
Post a Comment